เป็นศตวรรษมาแล้วที่ระบบการศึกษาไทยฝังแน่นอยู่กับความเชื่อว่า สติปัญญาเป็น
สิ่งที่ติดตัวบุคคลแต่ละคนมา มีระดับตายตัวมาตั้งแต่เกิด คนปัญญาสูง ปัญญาต่ำ ในบ้านเมืองก็
กระจายไม่เป็นสัดส่วน จึงมีการขีดเส้นอนาคตการเรียนสูงสุดของเด็กไว้
โรงเรียนจึงแบ่งเด็กด้วยสมรรถภาพทางการเรียน แยกเด็กฉลาดกับเด็กโง่ออกจากกัน
นี่คือทฤษฎีหรือหลักการในการจัดโปรแกรมการเรียน หลักการที่ทำให้เกิด....
- การทดสอบแบบอิงเกณฑ์
- การแบ่งสายการเรียน ( สายอาชีพ สายสามัญ)
- การจัดกลุ่มตามความสามารถ
- โปรแกรมสำหรับเด็กปัญญาเลิศ
- และอื่น ๆ อีกมหาศาล
เราได้รับการเลี้ยมสอนมาเช่นนี้ 5 ชั่วอายุคนแล้ว เรารับกันเป็นพื้นฐานเสียแล้วว่า
มันต้อง "เป็นไปตามยถากรรม"
ความเชื่อเช่นนี้นี่เองที่ขัดขวาง "การปฏิรูปการศึกษา"
เมื่อเชื่อว่าเด็กโง่เสียแล้ว ก็ป่วยการที่จะปฏิรูปเพื่อให้ "คุณภาพการเรียนของเด็ก
(ทุกคน) ได้มาตรฐานสูง (ระดับสากล - นานาชาติ)"
ทุกคนที่ได้รับการเรียกร้องให้ทำปฏิรูป ก็จะแหกปากโอดโอยแต่เบื้องต้น
"ไม่มีทางไปถึงฝันหรอก !"
ความจริงแล้วลูกหลานของเราไม่มีอะไรผิดปรกติเลย เขาสามารถจะเรียนได้ดีเยี่ยม
เช่นเดียวกับเด็กชาติอื่นใดในโลก จิตใจของเด็กปรกติสามารถพัฒนาได้ด้วยการปฏิบัติ
สมรรถภาพในการเรียนเป็นส่วนประกอบของความหมายมั่นกับความพยายาม สติ
ปัญญา มีอยู่แล้วในตัวคนแทบทุกคนปุถุชนย่อมมีสมรรถภาพในการเรียนสูงด้วยกันทั้งนั้น
ในยุคสมัยปัจจุบันเรามีความเชื่อมั่นในสมรรถภาพการเรียนของเด็ก หลักการใหม่
ในการจัดการศึกษา จึงมุ่งที่จะ......
กำหนดมาตรฐานการสำเร็จการศึกษา (พื้นฐาน 12 ปี) ไว้ให้สูง ให้เป็น
มาตรฐานคุณภาพศตวรรษที่ 21 แล้วจัดแนวหลักสูตร นโยบายและกระบวนการ
เรียนการสอน ให้เป็นไปตามความต้องการในการเร่งรัดพัฒนาเด็กทุกคนให้ถึง
มาตรฐาน เมื่อกำหนดมาตรฐานไว้แล้ว ก็ต้องปรับปฏิบัติการทุกอย่างในระบบ
โรงเรียนและระบบการศึกษา เพื่อให้เกิดผลสำเร็จตามเป้า
แนวคิดที่การศึกษาทั้งระบบต้องผูกพันอยู่กับการทำให้เด็กทุกคนเผด็จมาตรฐานให้ได้
เช่นนี้ เป็นลักษณะของการปฏิวัติโดยแท้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด นโยบายและวิธีปฏิบัติด้วย
ตรรกะใหม่ เราต้องคิดว่า "สติปัญญาพัฒนาได้" ไม่ใช่ถูกขีดเส้นจำกัดมาแต่กำเนิด
ในศตวรรษที่ 21 ไทยเราต้องยึดทฤษฎีสมรรถภาพการเรียนใหม่
มองเด็กในแง่ใหม่และจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ให้เขา
"เด็กทุกคนเรียน (ในระดับความสำเร็จสูง) ได้"
ครูที่มีประสิทธิภาพเข้าใจเรื่องนี้ดี และเขารู้ดีว่าพัฒนาการของเด็กนั้น เป็นกระบวน<
การที่เชื่อว่า เด็กทุกคนในห้องเรียนของเขาเรียนประสบผลสัมฤทธิ์ในระดับสูงได้ หากเขาได้รับ
การชักจูงให้ทำงานหนักพอ เขารู้ดีว่าความมั่นใจขึ้นอยู่กับลักษณะของสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
และนี่คือเคล็ดของครูที่มีประสิทธิภาพ และอาวุธลับของการปฏิรูป ก็คือ.....
การสร้างความมั่นใจ เป็นฐานไปสู่ความพยายามอันต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผล
ทางคุณภาพการเรียน
เด็กปรกติที่ได้รับการพัฒนาในสภาวะแวดล้อมที่เสริมส่งด้วย ความเชื่อ วินัย และความ
พยายามที่เป็นกระบวนการ ย่อมประสบความสำเร็จได้ นี่เป็นแรงจูงใจลึก ๆ ซึ่งจะเป็นความผูกพัน
เฉพาะตัวของเด็กกับการพัฒนาของเขา
ความมั่นใจ ความพยายาม พัฒนาการ
ที่มีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น